~+[ฮาคนเมือง(ฮักตี้จะอู้กำเมือง)]+~

Random Posts

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

คำทำนายของโหรหลวงในสมัย ร.1 ถึงบ้านเมืองในยุครัชกาลต่างๆ

0 comments
      คำพยากรณ์ของพระโหราธิบดี

                             ในรัชกาลสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจะฬาโลก
             มีผู้เฒ่าเล่ากันต่อ ๆ มาว่าในรัชกาลที่ ๑  สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
วันหนึ่งเวลาเย็นขณะที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกประทับอยู่  ณ ตำหนัก ในขณะนั้นก็พอดี
พระโหราผ่านมาจะเข้าเฝ้า พระองค์ก็เลยรับสั่งให้หา พระพุทธยอดฟ้าจึงเผยพระโอษฐ์ขึ้นก่อนว่า  ท่านมาก็ดีแล้ว  ท่านโหรา ฉันจะให้ท่านพยากรณ์โชคชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์ว่า
ต่อไปเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไร พระโหราจึงกราบทูลว่า พระอาญาไม่พ้นเกล้า  การถวายคำพยากรณ์โชคชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์  เป็นเรื่องสำคัญจำจะต้องตรวจการพยากรณ์
โดยความระมัดระวังจะต้องใช้เวลาถึง  ๓  วัน จึงจะกราบทูลถวายคำพยากรณ์ได้
            ครั้งแล้วท่านโหราธิบาดีได้จด  ปี  เดือน  วัน  เวลา  ของวันที่ลงหลักเมือง
กรุงรัตนโกสินทร์  ตามที่พระพุทธยอดฟ้ารับสั่ง  แล้วจึงกราบทูลลากลับไป  พอครบ  ๓  วัน
พระโหราธิบดีจึงมาเฝ้าพระพุทธยอดฟ้าตามนัด  และได้ถวายคำพยากรณ์เป็น ๑๒  ยุค  ดังนี้

          ยุคที่  ๑  ได้แก่  รัชกาลที่ ๑  ชื่อว่า มหากาฬ  มีอรรถาธิบายว่า  รัชกาลของพระองค์นี้
มืดมาก คือพระองค์ไม่รู้ที่จะดำเนินรัฐประศาสนโยบายของประเทศไปในทางไหนดี
เพราะเป็นระยะเริ่มก่อร่างสร้างกรุง

           ยุคที่  ๒ ได้แก่รัชกาลที่ ๒ ชื่อว่า พาลยัคฆ์  มีอรรถาธิบายว่า ผู้ที่รับมอบสืบราชสมบัติ
ต่อจากพระองค์ไปจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ที่ประกอบไปด้วยความอ่อนแอ ไม่มีความสามารถ
ในการปกครอง

           ยุคที่  ๓  ได้แก่รัชกาลที่  ๓  ชื่อว่า  รักมิตร  มีอรรถาธิบายว่า  ผู้ที่สืบราชสมบัติต่อมา
ถึงรัชกาลที่  ๓  นี้      จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงโปรดที่จะทำสัญญาผูกสัมพันธไมตรีกับ
ต่างประเทศมาก

          ยุคที่  ๔  ได้แก่รัชกาลที่  ๔  ชื่อว่า  สถิตย์ธรรม  มีอรรถาธิบายว่า  ผู้ที่สืบราชสมบัติ
ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๔  นี้ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงพอพระทัยฝักใฝ่ในทางธรรม       และพระพุทธศาสนามาก

          ยุคที่  ๕  ได้แก่  รัชกาลที่  ๕ ชื่อว่า  จำแขนขาด   มีอรรถาธิบายว่า   จะมีการเสียดินแดน
ให้แก่ต่างประเทศ  ในรัชกาลที่  ๕  ด้วยความจำใจ

          ยุคที่  ๖  ได้แก่  รัชกาลที่  ๖  ชื่อว่า  ราชโจรัญ  มีอรรถาธิบายว่า     ผู้ที่สืบราชสมบัติ
ต่อมาถึงรัชกาลที่  ๖  นี้เป็นพระราชาที่เปรียบเสมือนโจร  คือพระเจ้าแผ่นดินที่จับจ่ายใช้สอยทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาก

          ยุคที่  ๗  ได้แก่รัชกาลที่  ๗  ชื่อว่า  ทัณฑ์ทุกข์    มีอรรถาธิบายว่า  ผู้ที่สืบราชสมบัติถึง
รัชกาลที่  ๗  นี้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มารับเคราะห์หนักตลอดรัชสมัย

         ยุคที่  ๘   ได้แก่ รัชกาลที่  ๘  ชื่อว่า  ยุคทมิฬ   มีอรรถาธิบายว่า     จะเกิดมีสงคราม
ในยุคนี้ ประชาชน ประชาชาติจะต้องเสียสละทรัพย์สมบัติและเลือดเนื้อ เพื่อรักษาไว้
ของส่วนใหญ่อันเป็นที่รัก (แต่พระโหรา มิได้ทำนายไว้ถึงว่า รัชกาลที่ ๘  จะประสบเหตุการณ์
ถึงสิ้นพระชนม์ด้วยลักษณการเช่นนี้)

          ยุคที่  ๙  ได้แก่รัชสมัยปรัตยุบันนี้ ชื่อว่า ถิ่นสกาว  มีอรรถาธิบายว่า  ผู้ที่สืบสันตติวงค์
ครองราชสมบัติต่อมา   ถึงรัชกาลนี้  จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีบุญญาธิการ ประเทศจะเจริญรุ่งเรือง

          ยุคที่  ๑๐  ชื่อว่า  ชาวศรีวิไล   มีอรรถาธิบายว่า  ประชาชนพลเมืองจะถึงซึ่งอารยธรรม
อันแท้จริงในยุคนี้ (พวกมิจฉาทิษฐิและอธรรมจะเสื่อมสิ้นไป  พวกนี้ถ้าไม่ตายด้วยคมหอก
คมดาบ ก็จะต้องตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เพราะเป็นยุคของอารยชนที่มีจิตใจเป็นธรรม
เท่านั้น ที่จะอาศัยอยู่ในอารยประเทศ  ถิ่นสกาวได้    ถ้าผู้ใดไม่มีศีลธรรมผู้นั้นก็เท่ากับฝืนโชค  ชะตากรรมของประเทศชาติจะต้องได้รับโทษถึงตาย โดยทางใด   ทางหนึ่ง ดังกล่าวมาแล้ว

          ยุคที่  ๑๑  ชื่อว่า  ไทยมหารัฐ  มีอรรถาธิบายว่า  ประเทศจะเป็นมหาอำนาจในยุคนี้

          ยุคที่  ๑๒  ชื่อว่า  จักรพรรดิราช  มีอรรถาธิบายว่า พระเจ้าแผ่นดินจะเป็นถึง
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ในยุคนี้.


          ที่มา :  หนังสือ "คนตายแล้ว...ไปเกิดได้อย่างไร" ของพระธรรมสิงหบุราจารย์

                    เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น