~+[ฮาคนเมือง(ฮักตี้จะอู้กำเมือง)]+~

Random Posts

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมา ของ ผีปู่แสะย่าแสะ ประเพณีเลี้ยงผีที่น่าสยองจาก เชียงใหม่

0 comments
ผีปู่แสะย่าแสะ เดิมเป็นผีที่ดูแลรักษาเมืองเชียงใหม่ แต่ต่อมาผีปู่แสะย่าแสะและลูกหลานดูแลเฉพาะในเขตนอกเมือง ( เพราะมีผีตนอื่นดูแลในเขตเมืองอยู่แล้ว ) เรื่องของผีปู่แสะย่าแสะปรากฎในตำนานเชียงใหม่ปางเดิม และตำนายวัดดอยคำ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวกันว่า เดิมเป็นผีบรรพบุรุษของพวกลวะที่อาศัยอยู่ในบริเวณเชิงดอยสุเทพ มีเรื่องเล่าว่าสมัยที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ถึงเชิงดอยคำได้พบยักษ์ สามตนพ่อแม่ลูก ซึ่งยังชีพด้วยเนื้อสัตว์และเนื้อมนุษย์ เมื่อยักษ์ทั้งสามเห็นพระพุทธเจ้าก็จะจับกิน แต่พระพุทธองค์ทรงแผ่เมตตาจนยักษ์ทั้งสามเกรงในพระบารมีจึงยอมแสดงความเคารพ พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศนาและให้ยักษ์ทั้งสามรักษาศีลห้า แต่ผีปู่แสะย่าแสะไม่อาจรับศีลห้าได้ตลอดจึงขอกินเนื้อมนุษย์ปีละสองคน เมื่อพระพุทธองค์ไม่อนุญาต ก็ขอต่อรองลงมาเรื่อย ๆ จนขอกินเนื้อสัตว์ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสบอกให้ไปถามเจ้าเมืองเอาเอง แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จจากไป โดยไว้พระเกศธาตุที่ต่อมากลายเป็นพระธาตุดอยคำ

ผีปู่แสะย่าแสะได้รับอนุญาติจากเจ้า เมืองให้กินควายได้ปีละครั้ง จึงได้มีประเพณีฆ่าควายเอาเนื้อสดสังเวยผีปู่แสะย่าแสะ ส่วนบุตรของปู่แสะย่าแสะได้บวชเป็นฤาษีชื่อสุเทวฤาษี
แต่เดิมนั้น กษัตริย์ ขุนนาง และชาวบ้านจะร่วมกันทำพิธีเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะเป็นประจำทุกปี ต่อมาชาวบ้านตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้จัดเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะในบริเวณที่อยู่ของปีปู่แสะ คือหอผีกลางหมู่บ้านดอยสุเทพ ( บริเวณใกล้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ) ในวันขึ้น 12 ค่ำเดือน 9 เหนือ คือประมาณเดือนมิถุนายนของทุกปี ขณะเดียวกันชาวบ้านตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จะเลี้ยงผีย่าแสะที่ “ ดงย่าแสะ ” บริเวณเชิวดอยคำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 เหนือ และชาวบ้านจากสองตำบลนี้จะเลี้ยงผีเองโดยไม่มีเจ้าเมือง หรือผู้ว่าราชการจังหวัดไปร่วมพิธี และราว พ . ศ . 2480 ทางการได้ห้ามจัดการเลี้ยงผี แต่ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วจึงได้ฟื้นฟูขึ้นอีก แต่ให้ฆ่าควายดำเพียงตัวเดียวและทำพิธีรวมกันที่ดงย่าแสะเชิงดอยคำซึ่งก็ได้ ดำเนินตามนี้เรื่อยมา

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.openbase.in.th/node/6528

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น